แอ พ Smart Switch
จะได้ผลลัพธ์ออกมาดังภาพด้านบน ในกรณีที่ไม่มีโปรแกรม LE สามารถใช้ Tool ตัวอื่นๆ มาใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาจาวาได้ ในที่นี้ขอแนะนำเป็นโปรแกรม Eclipse Java Oxygen เริ่มต้นใช้งานโปรแกรม Eclipse 1. คลิกที่ไอคอน Eclipse Java Oxygen 2. เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาแล้ว โปรแกรมจะถามให้เราสร้างพื้นที่เก็บงาน โดยสามารถคลิกที่ปุ่ม "Wrowse.. " แล้วสร้างโฟลเดอร์เป็นของตัวเอง เสร็จแล้วคลิกที่ปุ่ม "Launch" 3. คลิกที่ปุ่ม "Create a new Java project" 4. ในหน้าต่าง New Java Project ตั้งชื่อ Project name: ในส่วนของ JRE เลือกเป็น CDC-1. 1/Foundation-1. 1 5. ในหน้า Package Explorer คลิกขวาที่ "src" เลือก "New" แล้วเลือก "Class" 6. ในหน้าต่าง New Java Class ตั้งชื่อคลาสตามต้องการในช่อง Name: เสร็จแล้วคลิกที่ปุ่ม "Finish" 7. จะได้โค้ดเริ่มต้นมาดังภาพ 8. ทดลองพิมพ์โค้ดดังนี้ static void main(String[] args) { ("Test Programing Java by ");} 9. เมื่อพิมพ์โค้ดแล้วกดปุ่ม Run หรือกดปุ่ม Ctrl + F11 อ้างอิง วิชาการ. คอม, "พื้นฐานการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP)", สืบค้นวันที่ 25 ก. ย. 60 Darkstriker, "อยากรู้ความหมายและอยากทราบว่า JAVA IDEs คืออะไรอะครับ", สืบค้นวันที่ 25 ก.
ศ. 1995ภาษาจาวาเป็นภาษาที่ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (platform independent)JDK 1. 0 ประกาศใช้เมื่อปี1996JDK เวอร์ชันปัจจุบันคือ Java 2 วิวัฒนาการของภาษาจาวาจากรุ่นแรกถึงจาวา1. 5 1. (ค. 1996) — ออกครั้งแรกสุด 2. 1997) — ปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม Inner Class 3. (4 ธันวาคม ค. 1998) — รหัส Playground ด้านจาวาแพลตฟอร์มได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน API และ JVM (API สำคัญที่เพิ่มมาคือ Java Collections Framework และ Swing; ส่วนใน JVM เพิ่ม JIT Compiler) แต่ตัวภาษาจาวานั้น เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (เพิ่มคีย์เวิร์ด strictfp) และทั้งหมดถูกเรียกชื่อใหม่ว่า "จาวา 2″ แต่ระบบเลขรุ่นยังไม่เปลี่ยนแปลง 4. (8 พฤษภาคม ค. 2000) — รหัส Kestrel แก้ไขเล็กน้อย 5. (13 กุมภาพันธ์ ค. 2002) — รหัส Merlin เป็นรุ่นที่ถูกใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน (ขณะที่เขียน ค. 2005) 6. (29 กันยายน ค. 2004) — รหัส Tiger (เดิมทีนับเป็น 1. 5) เพิ่มคุณสมบัติใหม่ในภาษาจาวา เช่น Annotations ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันว่านำมาจากภาษาซีชาร์ป ของบริษัทไมโครซอฟท์, Enumerations, Varargs, Enhanced for loop, Autoboxing, และที่สำคัญคือ Generics การพัฒนาการในช่วงเวลาต่าง ๆ ถูกพัฒนาตั้งแต่ปี 1991 โดยบริษัท Sun Microsystems ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของ Green Project Write Once Run Anywhere ค.
ข้ามไปเนื้อหา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี จาวา ( อังกฤษ: Java programming language) เป็น ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ ( อังกฤษ: Object Oriented Programming) พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และ วิศวกร คนอื่นๆ ที่ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษาจาวาถูกพัฒนาขึ้นในปี พ. ศ. 2534 (ค. 1991) โดยเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการกรีน (the Green Project) และสำเร็จออกสู่สาธารณะในปี พ. 2538 (ค.
0 (ค. 1996) — ออกครั้งแรกสุด 1. 1 (ค. 1997) — ปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม inner class 1. 2 ( 4 ธันวาคม, ค. 1998) — รหัส Playground ด้านจาวาแพลตฟอร์มได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน API และ JVM (API สำคัญที่เพิ่มมาคือ Java Collections Framework และ Swing; ส่วนใน JVM เพิ่ม JIT compiler) แต่ตัวภาษาจาวานั้น เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (เพิ่มคีย์เวิร์ด strictfp) และทั้งหมดถูกเรียกชื่อใหม่ว่า "จาวา 2" แต่ระบบเลขรุ่นยังไม่เปลี่ยนแปลง 1. 3 ( 8 พฤษภาคม, ค. 2000) — รหัส Kestrel แก้ไขเล็กน้อย 1. 4 ( 13 กุมภาพันธ์, ค. 2002) — รหัส Merlin เป็นรุ่นที่ถูกใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน (ขณะที่เขียน ค. 2005) 5. 0 ( 29 กันยายน, ค. 2004) — รหัส Tiger (เดิมทีนับเป็น 1. 5) เพิ่มคุณสมบัติใหม่ในภาษาจาวา เช่น Annotations ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันว่านำมาจาก ภาษาซีชาร์ป ของบริษัท ไมโครซอฟท์, Enumerations, Varargs, Enhanced for loop, Autoboxing, และที่สำคัญคือ Generics 6. 0 ( 11 ธันวาคม, ค. 2006) [1] — รหัส Mustang Archived 2007-06-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เป็นรุ่นในการพัฒนาของ Java SDK 6. 0 ที่ออกมาให้ทดลองใช้ในเดือนพฤศจิกายน ค.
ขึ้นต้นด้วย A – Z, a – z, $ หรือ _ เท่านั้น 2. ตัวต่อมาเป็นเลขหรือตัวอักขระตามข้อ 1 ก็ได้ 3. ตัวพิพม์ใหญ่และเล็กมีความหมายต่างกัน 4. ต้องไม่มีเว้นวรรคระหว่างการตั้งชื่อ ต้อไม่ซ้ำกับคีย์เวิร์ดที่จาวารู้จัก ค่าคงที่ ใช้ final ประกาศค่าคงที่โดยมีรูปแบบดังนี้ final ชนิดข้อมูล ชื่อค่าคงที่ = ค่าของข้อมูล;
2 ขึ้นไป ** แสดงคีย์เวิร์ดที่เพิ่มเข้ามาตั้งแต่ JDK เวอร์ชัน 1. 2 ขึ้นไป 3.
Robotics คือ โปรแกรมที่ใช้ในการควบคุมหุ่นยนต์ ภาพที่ 5 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมหุ่นยนต์ 8. Games คือ ซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมที่เป็นเกมส์ต่าง ๆ เป็นต้น ภาพที่ 6 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสร้างเกมส์
ไวยากรณ์ภาษาจาวา สัญลักษณ์และคำที่ใช้ในภาษาจาวาประกอบด้วย คอมเม็นต์ (comment) เช่น // หรือ /* */ การตั้งชื่อ (identifier) เช่น ชื่อคลาส ชื่อเมธอด ชื่อตัวแปร หรือชื่อค่าคงที่ คีย์เวิร์ด (keywords) คือชื่อที่มีความหมายพิเศษในภาษาจาวา เช่น if for ฯลฯ สัญลักษณ์แยกคำ (separators) เช่น; (),. {} ช่องว่าง (white space) เช่น ช่องว่าง แท็ป การขึ้นบรรทัดใหม่ ข้อมูลค่าคงที่ (literals) คำที่ใช้แสดงข้อมูล ที่เป็นตัวเลขจำนวนเต็ม ตัวเลขทศนิยม ตัวอักขระ ข้อความ หรือ ค่าทางตรรกะ(boolean) ชนิดข้อมูลแบบพื้นฐาน ชนิดข้อมูลในภาษาจาวาแบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ ชนิดข้อมูลแบบพื้นฐาน (primitive data type) และชนิดข้อมูลแบบอ้างอิง (reference data type) ชนิดข้อมูลแบบพื้นฐาน แบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้ 1. ชนิดข้อมูลตรรกะ (Logical) คือชนิด boolean 2. ชนิดข้อมูลอักขระ (Textual) คือชนิด char 3. ชนิดข้อมูลตัวเลขจำนวนเต็ม (Integral) คือชนิด byte, short, int และ long 4. ชนิดข้อมูลตัวเลขทศนิยม (Floating point) คือชนิด float และ double ขนาดและช่วงค่าของชนิดข้อมูลแบบพื้นฐาน ชนิดข้อมูล ขนาด(บิต) ช่วงค่า boolean 1 true char 16 '\u0000' ถึง '\uFFFF' byte 8 -128 ถึง +127 short 16 -32, 768 ถึง +32, 767 int 32 -2 ยกกำลัง 31 ถึง +2 ยกกำลัง 31-1 long 64 -2 ยกกำลัง 63 ถึง +2 ยกกำลัง 63-1 float 32 -3.
ชนิดข้อมูลในภาษาจาวานั้นแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งแต่ละประเภทก็จะแยกย่อยลงไปอีก เหตุผลที่ผู้เขียนโปรแกรมควรต้องทราบในเรื่องของชนิดของข้อมูลนั้นก็เนื่องมาจาก หากมีการเรียกใช้งาน เราจะต้องเรียกให้ตรงกับชนิดตัวแปรนั้น ๆ เรามาดูกันว่าภาษาจาวาแบ่งได้เป็น 2 ประเภทมีอะไรบ้าง Primitive Data Type Non-primitive Data Types 1. Primitive Data Type ประกอบด้วย integers คือข้อมูลที่เป็นตัวเลขจำนวนเต็ม ตัวเลขจำนวนเต็มประกอบด้วยตัวเลข 0 หรือ 1 2 3……. หรือจะติดลบ -1 -2 -3………. เราจะเรียกตัวเลขพวกนี้ว่าเลขจำนวนเต็ม float คือตัวเลขที่เป็นเลขที่มีจุดทศนิยม เช่น 2. 5 2. 0 2. 8 character คือตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ เวลาเรียกใช้งานจะมี " " ด้วยเสมอ Boolean คือค่าความจริง หรือค่าที่เป็นเท็จ 2. Non-primitive Data Types ประกอบด้วย string คือการนำ char มารวมกันจะเกิดเป็น string ขึ้น array stack list vector อื่น ๆ
1991 บริษัท ซันไมโครซิสเต็ม (Sun Microsystems) ได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์เล็กทรอนิคส์ขนาดเล็ก ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่สำคัญคือ ภาษาโอ๊ค (Oak) ค. 1993 ภาษาโอ๊คได้ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ในการสร้างเว็บแอพพลิเคชั่น (Web Application) พร้อมกับสร้างเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) ที่รองรับ ชื่อว่าเว็บรันเนอร์ (Web Runner) ค.